เทศน์บนศาลา

ธรรมแก้วหัวแหวน

๒๙ ต.ค. ๒๕๖๖

ธรรมแก้วหัวแหวน

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๖

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมเพราะเราอยากจะประพฤติปฏิบัติธรรม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะจะบรรเจิดจ้าในหัวใจของผู้นั้น ผู้ใดปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม กิเลสพอกพูนเต็มหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา องค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาประพฤติปฏิบัติธรรมไง องค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ เทศนาว่าการไป พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวา อัครสาวก เอตทัคคะ เห็นไหม เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์ไง เป็นพระอรหันต์เพราะการประพฤติปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สมควรแก่ธรรมเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจดวงนั้น 

เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาเราเกิดมา เห็นไหม พ่อแม่เลี้ยงดูมา มีแต่ของดีๆ ทั้งนั้น เลี้ยงลูกเลี้ยงเต้าของตัวเองขึ้นมา พอเราเติบโตขึ้นมาเรามีการศึกษา ศึกษา แล้วเราจะต้องมีหน้าที่การงานเพื่อเลี้ยงชีพของเรา พอมีหน้าที่การงานเลี้ยงชีพของเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งที่อาศัยไง 

เวลาทุกข์เวลายากขึ้นมา เห็นไหม ที่พึ่งอาศัยๆ ถ้าอาศัยของเราเพราะจิตใจมันว้าเหว่ จิตใจมันทุกข์มันยากไง จิตใจถ้าไม่มีหลักมีเกณฑ์นะ เวลามันทุกข์มันยากมันล้มลุกคลุกคลาน มันมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น แล้วเวลาศึกษาธรรมะ ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง เราก็ไม่รู้จักมันไง ทั้งๆ ที่ทุกข์ก็เกิดกับเรานี่แหละ เวลาทุกข์มันบีบคั้นๆ ดีใจเสียใจนั่นเป็นทุกข์ทั้งสิ้น มันมีความทุกข์ มันมีความสุข มันมีความพอใจ มันรื่นเริงไปนะ หลงระเริงไปกับชีวิตไง 

แต่ถ้ามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนานะ เราจะหาเวลาเราเพื่อจะประพฤติปฏิบัติ เวลาจะประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาพระมหาบัว ท่านเป็นพระ-อรหันต์ทั้งนั้น แต่เวลาท่านออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจะพึ่งพาอาศัยใคร หลวงปู่มั่นท่านตระเวนหาครูบาอาจารย์มาตั้งแต่รอบเพื่อนบ้าน ท่านไปหมดล่ะ ไปแสวงหาๆ เพราะเราปฏิบัติไปแล้วมันอั้นตู้ ปฏิบัติไปแล้วกิเลสมันยิ่งใหญ่กว่า กิเลสมันครอบงำหัวใจเราทั้งสิ้น

แล้วกิเลสมันเป็นอย่างไรล่ะ กิเลสเป็นอย่างไร

กิเลสก็คืออวิชชาคือความไม่รู้นั่นไง ไม่รู้มาก ไม่รู้น้อย ไม่รู้ขนาดไหน มันก็เป็นกิเลสทั้งสิ้น แล้วจะเอาจริงเอาจังขึ้นมาก็ด้วยความไม่รู้นั่นแหละ เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า กระจ่างแจ้งในธรรมวินัยขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันไม่กระจ่างแจ้งในหัวใจของเราไง แต่ถ้ามันเป็นที่ว่าคนที่ปรารถนาอย่างนั้น ธรรมทูตๆ เขาศึกษาธรรมะมา เห็นไหม เวลาพูดธรรมะมันเป็นธรรมะ แล้วถ้ามีสติปัญญาขึ้นมาธรรมะคุ้มครองตัวเองได้ แต่เวลาอารมณ์ชั่ววูบๆ เขาทำตัวเองเสียหายไป เขาคุ้มครองตัวเองไม่ได้ 

แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจของท่าน สติวินัยๆ” หลวงตาพระมหาบัวท่านพูดไง ความรู้สึกนึกคิด เวลามันจะคิดขึ้นมา เหมือนเราต้องหาบ เราต้องหามท่อนซุงๆ คำว่า หามท่อนซุง” นี่นะ มันมีน้ำหนักมาก พอมีน้ำหนักมาก คนที่มันขยับมันต้องมีสติมันต้องมีความรับรู้ ฉะนั้น สติวินัยๆ ความรู้สึกนึกคิดอันนั้นมันทันไง มันเท่าทันหมดล่ะ ความดีความชั่วมันรู้อยู่แก่ใจ ถ้ามันรู้อยู่แก่ใจมันรู้ตลอดเวลา ถ้ารู้ตลอดเวลามันไม่ทำอย่างนั้นหรอก

แต่เวลาทำคุณงามความดีล่ะ แต่เวลาอารมณ์ที่รุนแรงๆ มันรุนแรงด้วยธรรม มันไม่ได้รุนแรงด้วยกิเลส เวลากิเลสมันบีบคั้นในหัวใจของเรา เห็นไหม มันมีแต่ความทุกข์ความยาก แต่เวลาเป็นธรรมๆ ขึ้นมา เวลาธรรมมันรุนแรงๆ รุนแรงเพราะมันอาฆาตแค้นกิเลสไง มันอาฆาตแค้นสิ่งที่ว่าไม่รู้ๆ ที่เป็นอวิชชา ที่ว่าเป็นความทุกข์ๆ นั่นแหละ ความทุกข์มันเกิดจากอะไรล่ะ มันเกิดจากตัณหาความทะยานอยาก มันมีเหตุของมัน แล้วมีเหตุของมันแล้วเหตุมันเป็นอย่างไร ถ้ายังไม่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันจะไม่รู้เท่าทันเหตุอันนั้น แล้วถ้าไม่รู้เท่าทันเหตุอันนั้นจะไปดับมันอย่างไร จะไปแก้ไขมันที่ไหน แก้ไขมันไม่ได้ 

ฉะนั้น ถึงว่าจะชำระล้างกิเลสๆ มันเป็นความเชื่อ มันเป็นศรัทธาอันหนึ่ง ศรัทธาที่เรามีความมุ่งมั่น ถ้ามีความมุ่งมั่นแล้วถ้ามีอำนาจวาสนานะ ฝึกหัดปฏิบัติของเราตามเป็นข้อเท็จจริงของเราไป มันจะล้มลุกคลุกคลานแค่ไหน เราก็มีสติปัญญาดูแล ดูแลศรัทธา ดูแลความเชื่อ ดูแลหัวใจของเราให้มันประพฤติปฏิบัติต่อเนื่องกันไป ถ้าต่อเนื่องไป เห็นไหม ในมหายาน เห็นไหม เฒ่าโง่ย้ายภูเขา เขาทุบภูเขานะ เขาเจาะเป็นถ้ำ ๓๐ ปี ทำกับลูกศิษย์ของเขา เฒ่าโง่ย้ายภูเขาๆ เขามีศรัทธามีความเชื่อขนาดนั้นนะ

เราทำเองแล้วบอกว่าลัดสั้นๆ สุขเอาเผากิน เอาแต่ได้ เอาแต่กิเลสที่มันจะชักจูงของมันไป แล้วก็ครอบงำใจของตน แล้วจะไปครอบงำคนอื่นอีกต่างหาก เพราะอะไร เพราะว่าเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมากับพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามันมีอยู่แล้วไง ถ้าพระพุทธศาสนามีอยู่แล้ว มีแต่คนมีศรัทธาหรือไม่มีศรัทธาเท่านั้น 

ถ้าคนมีเขาศรัทธาเขา เขาก็มีศรัทธา แล้วเขาเห็นพระๆ เขาก็เชื่อของเขา แล้วมีวุฒิภาวะของคนที่มันต่ำต้อยขึ้นมามันก็เชื่ออย่างนั้นๆ ไป เห็นไหม เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันทำลาย ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้นแล้วยังลัดสั้นๆ ยังไปโกหกมดเท็จ โกหกมดเท็จเพราะมันรู้อยู่แก่ใจ กิเลสมันให้ผลมันแสบร้อนนะ แล้วกิเลสมันอยู่เต็มหัวใจเวลามันให้ผลมาไม่รู้ได้อย่างไร มันรู้ทั้งนั้น แต่หน้าชื่นอกตรม หน้าไหว้หลังหลอก แล้วมันไม่เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาทั้งสิ้น

ถ้ามันเป็นจริงเป็นจัง เห็นไหม เราจะประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงของเรา ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงของเรานะ จะมากจะน้อยขนาดไหน เราก็ฝึกหัดของเราไป เราทำของเราไป แต่มันทำให้ถูกต้องชอบธรรมขึ้นมา ถ้าถูกต้องชอบธรรมขึ้นมา สิ่งที่จะเอาชนะตนเองได้มันแสนยิ่งใหญ่ เวลามันฟุ้งมันซ่าน มันทุกข์มันยาก กิเลสมันเบ่งบานท่ามกลางหัวใจ แล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้น ความล้มลุกคลุกคลานนั้นมันก็เป็นเรื่องข้อเท็จจริง 

เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านจะอบรมบ่มเพาะ ท่านดูจริตดูนิสัยดูว่าเอาจริงเอาจังหรือไม่ เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา ถ้าเอาจริงเอาจังขึ้นมาก็ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ อย่าให้มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิขึ้นมา ความจริงความจังนั้นมันบิ่นมันคมกล้าจนใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ถ้าเป็นความจริงความจังของเราขึ้นมาให้เป็นสัมมาทิฏฐิไง สัมมาทิฏฐิ เห็นไหม ความจริงความจังนั้นต้องมีเหตุมีผล ความจริงความจังนั้นต้องมีที่มาที่ไป ความจริงความจังนั้นไม่ใช่ว่าทิฏฐิมานะจะเอาของเรา มุมานะ เห็นไหม ดันทุรังอยู่อย่างนั้น มันเป็นดันทุรัง มันไม่ใช่ธุดงควัตร 

ถ้าเป็นธุดงควัตรๆ เห็นไหม มันขัดเกลากิเลสไง มันต้องเบาบางลง มันต้องมีความสงบสุขในใจของเรา ถ้ามีความสงบสุขในใจของเรา สิ่งที่เวลามันโต้มันแย้งมันขัดมันแย้ง ในสังคมทุกสังคมมันมีทั้งสิ้น เวลาสังคมทุกสังคมมันมีทั้งสิ้น ในชีวิตของเรามันจะไม่มีเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปได้เราก็ต้องมีสติมีปัญญา มีสติปัญญาเพื่อให้มีช่องทาง ช่องทางให้จิตของเรา ให้ความรู้สึกของเรามันมีความสงบสุข นี่ที่พึ่งที่อาศัย เวลาเราเกิดมาสิ่งที่ปัจจัยเครื่องอาศัยๆ มันเป็นสิ่งที่เป็นเครื่องอาศัยมันไม่เป็นความจริง ถ้ามันเป็นความจริงๆ เราจะฝึกหัดของเรา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าคนยังไม่มีอำนาจวาสนานะ นี่อนุปุพพิกถาให้ทำทานของเขาๆ ทาน ศีล ภาวนา ให้มีทานของเขา ถ้าเขาทำทานของเขา จิตใจเขาเป็นธรรมขึ้นมา เขาจะทำคุณงามความดี เขาจะทำผลประโยชน์ขึ้นมา เห็นไหม ผลของมันนี่สวรรค์ มันสวรรค์อยู่แล้ว เวลาทำดี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำคุณงามความดีของเรามันก็จะได้คุณงามความดีของเราประจำจิตของเรา อย่าว่าประจำชีวิต ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี่ ชีวิตนี่เกิดมามีการพลัดพรากเป็นที่สุด เพราะมันสมมุติ จริงตามสมมุติไง ก็อายุขัยไง ก็เพื่อชีวิตนี้ แต่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันประจำจิตเลยล่ะ 

เพราะมันประจำจิต พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เขาสร้างมามากน้อยขนาดไหน แล้วมันไปไหน มันก็ลงอยู่ที่จิตนี่ไง มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา เวลามันมโนกรรมๆ กรรมที่มันคิด กรรมที่มันทำ สิ่งที่มันฝังลงที่หัวใจ พระโพธิสัตว์ถึง ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกอดีตชาติไป ตั้งแต่พระเวสสันดรไป จากพระเวสสันดรไปเกิดจุติเป็นเทวดา ถึงเวลาแล้วก็จุติลงมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม จริตนิสัยที่สร้างสมมาเพราะบารมีเต็ม ขนาดบารมีเต็มยังต้องล้มลุกคลุกคลานขนาดนั้น

พญามารมันยิ่งใหญ่ขนาดไหน เวลาพญามารมันยิ่งใหญ่ขนาดไหน หัวใจเราก็เหมือนกัน เวลาหัวใจเราก็เหมือนกัน เวลาธรรมะนะ เวลาเทศนาว่าการบอกว่ามรรคผลนิพพานๆ” “โอ้โหจะเอานิพพานเชียวหรือ” ไม่กล้าคิดไง แล้วเวลาทางโลก เห็นไหม นรกสรรค์มีจริงหรือเปล่า ภพชาติมีจริงหรือ” มีจริงหรือไม่จริงทำความสงบใจเข้ามา แค่ใจสงบมันก็รู้แล้ว จิตสงบขึ้นมา มันมหัศจรรย์ในตัวของมันเอง แต่เวลาทำของตนไม่เป็นมันเป็นมิจฉาเพราะอะไร เพราะเข้าใจว่าว่างๆ มันเป็นสมาธิไง ว่างๆ สัญญาอารมณ์ทั้งนั้น

เวลาคนนะ คนที่เขาเพลิดเพลินในชีวิตของเขา เผลอสติไป นั่นไง ว่างไหม แต่เขาไม่ได้ศึกษาธรรมะ เขาเผลอไผลไป ว่างๆ แล้วนักปฏิบัติอย่างพระกรรมฐานเรา อย่างลูกศิษย์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นทำกันอย่างนั้นหรือ ทำกันแค่นั้นหรือ เหลวไหล มันไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันทั้งสิ้น

ถ้ามันมีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา เรามีอำนาจวาสนาของเรา มีศรัทธา ศรัทธานี่มีสามัญสำนึกของเรา แล้วถ้ามีศรัทธาแล้ว ในชีวิตของเราถ้าศึกษาในพระพุทธ-ศาสนา เรื่องพระ เรื่องปริยัติ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าด้วยเหตุด้วยผลๆ ถ้ามีสติ มีสติสัมปชัญญะนะ ยกบาลีได้หมดล่ะ ข้อนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ที่นั่นเป็นเรื่องอย่างนั้น แล้วเราระลึกได้

แต่แต่เวลาถ้ากิเลสมันรุนแรงมันนึกไม่ทันหรอก มันนึกไม่ได้ มันนึกไม่ทันนึกไม่ได้ก็ทุกข์ ทุกข์ไปก่อน เวลามีคนเตือนสติ มีคนเตือนสติแล้วเข้าใจได้ก็อ้อเบาบาง เบาบางลง ที่พึ่งที่พาที่อาศัย สิ่งที่อาศัย แล้วเวลาฝึกหัดปฏิบัติมันจะเอาความจริง เราจะเอาความจริง สติถ้าเป็นสติจริงๆ นะ มันยับยั้งความรู้สึกนึกคิดอันนี้ได้ ถ้ามันยับยั้งความรู้สึกนึกคิดอันนี้ได้มันก็ต้องมีอำนาจวาสนามีบารมีของเรา

แต่สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา มันชั่วคราวๆ ทั้งสิ้น ชั่วคราวๆ เห็นไหม เวลาว่าชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วเวลาร้อยปีๆ โอ๊ยมันยาวไกล เพราะอะไร เพราะเวลามันทุกข์มันยาก มันบีบคั้น มันเวลามันช้านัก เวลามีความสุขแป๊ปเดียวๆ เท่านั้น ฉะนั้น เวลาเราประพฤติปฏิบัติไง ล้มลุกคลุกคลานกว่ามันจะสงบสุข ถ้ามันสงบสุขได้ เดี๋ยวมันก็คลายออก เวลาคลายออกขึ้นมา เวลาจิตมันเสื่อมเราจะรักษาของเราอย่างไร ถ้ารักษาอย่างไร ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุๆ 

เวลาครูบาอาจารย์ของเราพุทโธๆๆ ตลอดเวลา แล้วเวลามันมีความสุขก็มีความสุขของเรา เวลามันเสื่อมของมันนะ เราก็ขวนขวายมีการกระทำให้มันมากขึ้น แล้วเวลากิเลสมันรู้ทันของมัน มันปลิ้นมันปล้อนนะ มันปลิ้นปล้อนเราเอง เดี๋ยวก่อน เมื่อนั้นจะทำ ทำแล้วเราพักไว้ก่อน นี่มันประมาทเลินเล่อ มันไม่รอบคอบ เวลารอบคอบขึ้นมาเขาถึงแสวงหาไง

เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านออกธุดงค์ไปหาบ้านน้อยๆ ๓ หลัง ๔ หลัง เขาจะได้ไม่มากวนเรา นี่ไง ก็เพราะเหตุนี้ไง เวลาปฏิสันถารต้อนรับเขา มันต้องพูดต้องคุย มันต้องร้อยแปด แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันจริงมันจัง มันต้องการเวลาทั้งสิ้นๆ ต้องพิสูจน์กัน เวลาเราทำของเราได้บ้าง เราทำของเราได้มันก็ได้ประโยชน์กับเราบ้าง เวลามันทำได้บ้างๆ เพราะเวลาเราทำได้บ้าง กิเลสมันสงบตัวลงไง ถ้าเดี๋ยวอะไรมันไปปรุงไปแต่งมันไปขุดคุ้ยขึ้นมา มาอีกแล้ว พอมาอีกแล้วมันก็ทุกข์อีกแล้ว แล้วเมื่อไหร่จะชำระล้างกิเลสได้ล่ะ กิเลสเมื่อไหร่จะสิ้นไป เราก็นึกคิดของเราไป

แต่ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมานะ ทำความสงบของใจเราเข้ามา ใจสงบแล้วมันเหมือนมีแหวนวงหนึ่ง แหวนวงนั้นถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องชอบธรรม เป็นสัมมาสมาธิ แต่ถ้าเป็นมิจฉาสมาธิล่ะ มิจฉาสมาธินี่แหวนวงหนึ่ง แหวนวงนั้นทำด้วยอะไร แหวนมันก็คือแหวน แหวนจะเป็นแหวนทอง แหวนทองเหลือง จะเป็นทองคำขาว แต่ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิไง ใบไม้ก็เป็นได้ ใบหญ้าก็เป็นได้ ทำแหวนเป็นก็ได้ แล้วเอาเชือกผูกก็เป็นได้ มันก็เป็นแหวนทั้งนั้น แหวนก็คือแหวน มิจฉาหรือสัมมา ถ้าเป็นสัมมา เห็นไหม มันเป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์กับการกระทำของเรา เพราะอะไร 

เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา นั้นเป็นภาคปริยัติทรงจำธรรมวินัย ทรงจำธรรมวินัยมันไม่เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาจากหัวใจของเรา แต่เวลาเราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติมีสติปัญญาขึ้นมา มันก็เท่าทันความรู้สึกนึกคิดของเรา เวลามันเท่าทันความรู้สึกนึกคิดของเรา ถ้าเราทำความสงบของใจของเราได้ มันเป็นข้อเท็จจริงในหัวใจของเรา มันก็เปรียบเหมือนแหวนไง สัมมาสมาธินี่เปรียบเหมือนแหวน เพราะมันมีความสุข ความสงบสุข แล้วมีสติสัมปชัญญะ มันจับต้องมันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา

ถ้ามันเป็นการศึกษาทางจำธรรมวินัย เห็นไหม ทรงจำธรรมวินัยทั้งสิ้น แล้วเวลาปฏิบัติไป ปฏิบัติไปด้วยความหน้าไหว้หลังหลอก ปฏิบัติไปด้วยความล้มเหลว มันก็บอก สัมมาสมาธิถ้าเป็นแหวนเราก็มีเหมือนกัน เรามีเหมือนกัน เราจะเอาจับสิ่งใดมาเป็นแหวนก็ได้ จะเอาเชือก เอายาง สิ่งใดมาม้วนใส่นิ้ว มันก็เป็นแหวนเหมือนกัน” ถ้าแหวนเหมือนกันแต่มันเป็นมิจฉาไง เพราะอะไร เพราะมันไม่คงที่ มันเป็นของเหลวไหล มันเป็นเชือก เป็นฟาง เป็นหญ้า มันเดี๋ยวก็เปื่อยลุ่ยไป มันอยู่ไม่ได้ มันไม่มีคุณประโยชน์ มันไม่เป็นความจริงขึ้นมา

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ เวลาหลวงปู่มั่น จิตเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร มีแหวนไหม มีแหวนไหม” นี่สัมมาสมาธิเหมือนแหวน ฝึกหัดใช้ปัญญาๆ ปัญญาคือหัวแหวน ถ้ามีปัญญาๆ ปัญญาเป็นหัวแหวนขึ้นมา แล้วมีปัญญา แล้วเราเป็นปัญญาชนนี่เราไม่มีปัญญาหรือ ปัญญาเราเยอะแยะ ปัญญาเราทำอะไรก็ได้ เราคิดสิ่งใดก็ได้ ไอ้นี่มันเป็นปัญญาประจำโลก มันเป็นปัญญา มันเป็นความรู้สึกนึกคิด มันมีของมันโดยธรรมชาติของมัน 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เวลาสร้างสมบุญญาธิการมานี่บารมีเต็มๆ เห็นไหม เวลามีความรู้สึกนึกคิดไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มีสติปัญญา มันต้องมีฝั่งตรงข้าม ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายแล้วมันจะไปหาได้ที่ไหน ความรู้สึกนึกคิด เห็นไหม ความรู้สึกนึกคิดที่มีอำนาจวาสนามันคิดแต่เรื่องดีงาม มันคิดแต่สิ่งที่เราจะออกไปเผชิญหน้ากับกิเลส เป็นความคิดว่าเราจะมีศรัทธา มีความมั่นคง มีการกระทำ แล้วการกระทำจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ก็นี่ไง ที่เราประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี่ไง 

ถ้ามาประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี่ ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา เราก็มีแหวนวงหนึ่ง แหวนอยู่ที่ไหน แหวนอยู่ที่ใจ ใจเป็นแหวน เพราะจิตมันสงบ จิตเราเป็นแหวน แล้วแหวนก็คือแหวนไง สมาธิเจริญแล้วก็เสื่อม สมาธิก็เป็นสมาธิไง ถ้าไม่มีสมาธิล่ะ ไม่มีแหวน ไม่มีแหวนก็ไม่มีสิ่งใดเริ่มต้น ไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้นๆ ก็เกิดมาไง เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ ไม่ได้บวชได้เรียน เหยียบแผ่นดินผิด ไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์กับจิตดวงนั้นทำคุณงามความดีก็นี่ไง ก็ผลของวัฏฏะไง เวลาอนุปุพพิกถาไง ทำทานก็ไปสวรรค์ไง ไปสวรรค์หมดอายุขัยก็มาเกิดอีกไง จะไปเกิดเป็นพรหมหมดอายุขัย หมดอายุขัยเพราะอะไร ก็ผลของวัฏฏะไง มีอะไรคงที่บ้าง 

วัฏฏะ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วมันจะไปไหน มันก็วนของมันอยู่อย่างนั้นไง พระพุทธศาสนาวิวัฏฏะไง ให้เราออกจากวัฏฏะนี้ได้ไง แล้วออกจากวัฏฏะที่ไหนล่ะ ก็ความสามารถของผู้ที่ปฏิบัตินั้น ถ้าผู้ที่ปฏิบัตินั้นแล้วทำอย่างไร?จิตสงบแล้ว เห็นไหม ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา นี่ไง นี่ไงธรรมแก้วหัวแหวน ธรรมแก้วหัวแหวน แหวนที่มีคุณค่า เราจะมีแก้วหัวแหวน แก้วหัวแหวนของใคร ปัญญาอย่างใด ปัญญาชนิดใด ปัญญาของใคร แล้วมันเป็นปัญญาหรือเป็นสัญญา เห็นไหม แหวน สัมมาสมาธิหรือมิจฉาสมาธิ

ความพลั้งเผลอ ความเหลวไหล ความโลเลเป็นสมาธิหรือ ลัดสั้นไง ก็ใบหญ้าไง ฟางข้าวไง พันมือก็เป็นแหวน ลัดสั้นไง แล้วเป็นจริงเป็นจังขึ้นไหมล่ะ เป็นขึ้นมาก็เป็นขึ้นมาเพื่อให้มันสำเร็จรู้ว่าคำว่า แหวน” แล้วมันเป็นแหวนจริงหรือเปล่า แล้วมันมีคุณสมบัติ มันเข้มแข็ง มันคงทนพอ พอจะเป็นประโยชน์กับใครบ้าง มิจฉาทำด้วยความเหลวไหล 

ทำด้วยความเป็นจริง จิตสงบไหม จิตมีความสุขมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีมากน้อยขึ้นมา เห็นไหม ชำนาญในวสี รักษาแหวนของตนให้ดีงาม สมถกรรมฐาน วิปัสสนา วิปัสสนาเพื่อรู้แจ้ง ในกิเลสตัณหาความทะยานอยาก หัวแหวน แล้วหัวแหวนของใคร แหวน เห็นไหม เพชรนิลจินดา เป็นนิลก็ได้ เป็นพลอยก็ได้ เป็นจินดาก็ได้ เป็นเพชร เพชรระดับไหน เพชรคุณภาพมากน้อยแค่ไหน ระดับไง บุคคล ๔ คู่ มันแตกต่างกัน แหวนโดยสัจจะโดยความจริง แล้วถ้าปัญญาๆ เห็นไหม ถ้ามันเป็นมิจฉาล่ะ แม้สมาธิมันก็มีสัมมาและมันมีมิจฉา ถ้าเป็นปัญญาๆ เห็นไหม ปัญญาโดยสัญญา ปัญญาโดยกิเลส กิเลสมันพลิกมันแพลง หัวแหวนนะ ในการแย่งชิงอำนาจ หัวแหวนเขาทำหัวแหวนไว้ข้างในบรรจุยาพิษได้ หัวแหวนไปเปิดยาพิษใส่ ใส่อาหาร ใส่น้ำดื่มให้ศัตรูกินตายเลย แล้วถ้ามันยาพิษ ยาพิษมันก็กัดกร่อนตัวมันเองไง นี่หัวแหวนไง 

ปัญญา ภาวนามยปัญญา จินตมยปัญญา สุตมยปัญญา สัญญาๆ สัญญาคือความจำได้ หมายรู้ การแย่งชิงการลักการขโมยของใครมา ไปฉกชิงว่าอันนี้เป็นปัญญา ปัญญาแล้วเป็นปัญญา แล้วถ้ามันใช้ปัญญาแล้วมันเป็นประโยชน์ มันเป็นการฆ่ากิเลส เข้าข้างตัวเองทั้งนั้น นั่นน่ะเป็นยาพิษ สิ่งที่เป็นยาพิษเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นสิ่งที่ว่าทำลายหัวแหวน ทำลายกระทั่งแหวน กัดกร่อนเสียหายไปหมด ถ้าพูดถึงเวลาประพฤติปฏิบัติโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก โดยที่ไม่มีครูบาอาจารย์คอยคุ้มครอง คอยดูแล คอยชัก คอยนำ 

แล้วถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านไปเอาอาจารย์ที่ไหน ท่านก็ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของท่าน แหวกว่ายพยายามหาขอบหาเขต หาการกระทำให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา คนที่มีวาสนาไง คนที่ได้สร้างอำนาจวาสนามา อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ๆ ได้สร้างคุณประโยชน์มา ได้สร้างอำนาจวาสนามา สิ่งใดขึ้นมาแล้วนี่มันจะเข้าหาฝั่ง โคนำฝูง จากฝูงโค จากฝั่งของสมมุติฝั่งของโลก ฝั่งที่ ๑๐๐ ปี ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะโดยอวิชชา โดยพญามาร โดยไม่มีใครช่วยเหลือเจือจานได้ มาจากกรรมดีกรรมชั่วเป็นคนขับดันไป ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว โดยข้อเท็จจริง โดยสัจจะโดยความจริง 

แต่เวลาปฏิบัติโดยสตินะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาในพระพุทธศาสนาทวนกระแสกลับๆ ทวนกระแสกลับเข้าไปสู่ใจของตน ถ้าทวนกระแสกลับเข้าไปสู่ใจของตน บริกรรมพุทโธๆ ใช้ปัญญาอบรมสมาธินี้ก็เพื่อจะสร้างแหวนของตัวเองขึ้นมา เพื่อสร้างแหวนขึ้นมา แล้วพยายามประดับด้วยหัวแหวนด้วยปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา

สมาธิๆ แหวนก็คือแหวน แหวนเวลาใส่ในนิ้วของตัวเองแล้วเวลาเจริญเติบโตขึ้นมา เวลานิ้วมันใหญ่ขึ้นมา แหวนมันรัดจนนิ้วขาดเลย สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ไง เวลาจะแก้กิเลสๆ มันต้องใช้ปัญญา ปัญญาถ้ามันไม่ปัญญา เห็นไหม เพชรนิลจินดา ถ้าไม่มีที่จับ มันก็อยู่ในดินไง อยู่ในเหมืองแร่ไง เวลาเขาเอามา มันก็อยู่ในร้านขายเพชรไง แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านสร้างธรรมทายาทนะ เพชรน้ำหนึ่ง เพชรน้ำหนึ่ง เห็นไหม กว่าจะเป็นเพชรน้ำหนึ่ง เพชรสิ่งที่มีคุณค่า เพชรที่มีคุณภาพแตกต่างกัน เพราะอายุขัยของเขาที่ได้ตกผลึกมาว่ามีคุณภาพแค่ไหน

จิตของคนๆ ในการประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา ถ้าเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม นี่สุตมยปัญญา ปัญญาจากการศึกษา ศึกษาก็เป็นเรื่องโลกๆ นี่ไง เวลาเรื่องโลกๆ เพราะอะไร เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีอำนาจวาสนา เรามีศรัทธาความเชื่อ เราได้ศึกษาของเรา ศึกษาของเราแล้วนี่ เวลาคนที่มีอำนาวาสนานี่จะบวชเป็นพระกรรมฐาน พระปฏิบัติ เวลาพระกรรมฐานพระปฏิบัติต้องการเวลา ต้องการสถานที่ในการประพฤติปฏิบัติ

เวลาครูบาอาจารย์เวลาพาไปบวช เห็นไหม จากพระ-อุปัชฌาย์ เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ นั่นก็คือหัวใจแล้ว เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันเรื่องอะไร มันเรื่องยิ่งใหญ่แค่ไหน นี่ไปศึกษาพระไตรปิฎก เห็นไหม จบ ๙ ประโยค เวลาพระอุปัชฌาย์ให้กรรมฐาน ๕ เวลากรรมฐาน ๕ เราบวชมาแล้ว เวลามีครูบาอาจารย์ ท่านให้ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบเข้ามา เห็นไหม ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติในความเชื่อของเขา เขาขณะเข้าไปบริกรรมเลย เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ นี่เพื่อเป็นสมถะ เห็นไหม

แต่เวลาอุปัชฌาย์เวลาบวชขึ้นมา เห็นไหม ให้หัวแหวน ให้ปัญญามันแทงทะลุ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ของเรา เห็นไหม เกิดมากินอาหารดีๆ เกิดมารักษาร่างกายให้มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์ มีสุขภาพจิตที่ดีงาม ขัดสีฉวีวรรณนะ มันก็ชราคร่ำคร่า มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว จะมีสติมีปัญญานี่เท่าทันผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรือไม่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังมันก็เป็นสมบัติของมนุษย์ มันเป็นสมบัติคน คนที่เกิดมาสมบูรณ์แบบโดยผม ขน เล็บ ฟัน หนัง หนัง เห็นไหม ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า เล็บก็มี ๒๐ เล็บ สิ่งที่ผิวหนัง เห็นไหม มันครอบงำไว้ ขนมันก็มีของมันนะ มันรู้มันเห็นของมันทั้งหมดล่ะ แล้วมีแหวนไหม มีสมาธิความเข้าใจชีวิตไหม 

ถ้ามันมีสมาธินะ มันมีสมาธิขึ้นมานะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อื้อฮือมันขยายส่วนแยกส่วนเพราะมันมีกำลังมีสมาธิของมัน มันเห็นแล้วโอ๊ะโอ๊ะมันไม่ใช่ว่าไปดูแลรักษา เพราะอะไร ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แต่ในชีวิตนี้มีอำนาจวาสนาหรือไม่ ถ้ามีอำนาจวาสนา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เห็นไหม เอตทัคคะ ๘๐ องค์ พระอรหันต์ทั้งนั้น พอเทศน์ชฎิล ๓ พี่น้องก็พันกว่าแล้ว เวลาวันมาฆบูชา เห็นไหม เอหิภิกขุบวชให้เอง อบรมสั่งสอนให้เอง ๑,๒๕๐ องค์ พระอรหันต์ทั้งนั้น พระอรหันต์เพราะอะไร มีสติมีปัญญา มีแหวน มีหัวแหวนพิจารณาทะลุผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ทะลุทั้งหมด ทำลายทั้งหมด สิ่งที่ทั้งหมด ทั้งหมดโดยอะไร 

ไอ้ของเรา เห็นไหม เรามีกิเลส เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เป็นชาวพุทธเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แวววาว มีความสวยงาม มันเจริญหูเจริญตา นี่ติดข้องไปหมด 

แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา ท่านอบรมบ่มเพาะไง จิตเป็นอย่างไร ทำความสงบใจเข้ามา ใจสงบระงับแล้ว หนัง รูขุมขน เล็บมันขยายส่วน ถ้ามันเห็น เห็นด้วยอะไร เห็นด้วยสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิ เห็นไหม สัมมาสมาธิแหวนไง แล้วถ้าประดับไปด้วยหัวแหวนไง ถ้าหัวแหวนนะ สติปัญญามันเห็นผม ขน เล็บ ฟัน หนังไง ถ้ามันเห็นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันแยกส่วนขยายส่วน อุคคหนิมิต วิภาคะ ขยายส่วนแยกส่วนเป็นไตรลักษณะ ไตรลักษณะ เห็นไหม ให้มันเป็นอนัตตา มันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาโดยสติโดยปัญญา ถ้ามันเป็นหนังมันทะลุหนัง เป็นขนทะลุขน ถ้าผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันทะลุทะลวง มันทำลายทั้งสิ้น ทำลายโดยอะไร ทำลายด้วยจักขุญาณ ทำลายด้วยสติปัญญาของตน ทำลายขึ้นมา ทำลายที่ไหน ก็ทำลายที่แหวนนั้นไง 

แหวน เห็นไหม แหวนมันเกิดจากอะไร เกิดจากจิตที่มันสงบระงับเข้ามาไง เวลามันพิจารณาไปแล้วมันทำลายเข้ามา ทำลายอะไร ก็ทำลายกิเลสที่แหวนนั้นไง ทำลายกิเลสที่นิ้วที่มันใส่แหวนนั้นไง ถ้ามันทำลายที่นิ้วที่ใส่แหวน เห็นไหม นั่นกิเลสมันอยู่ที่นั่นไง มันสำรอกมันคายของมัน เห็นไหม ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันไม่ได้บุบสลาย มันไม่ได้เสื่อมสภาพสิ่งใดๆ เลย มันก็เป็นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เหมือนเดิมนี่แหละ 

แต่จิตมันรู้มันเห็นขึ้นมา มันเกิดญาณทัสสนะ มันเกิดสัจจะ เกิดความจริงขึ้นมาจาก จักขุญาณ จากจิตที่มันรู้มันเห็น มันมหัศจรรย์ของมัน นี่ไง แก้วหัวแหวนไง ธรรมแก้วหัวแหวนมันเป็นธรรม ธรรมมาจากไหน อ้าวธรรมก็ต้องอยู่ในตู้พระ-ไตรปิฎกสิ ธรรมก็ต้องศึกษาจากธรรมและวินัยขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” นั้นทรงจำวินัย มีสติขึ้นมาก็เป็นสติธรรม เวลาเป็นทำสมาธิขึ้นมาก็เป็นสมาธิธรรม เวลาเกิดภาวนามย-ปัญญาขึ้นมา เห็นไหม มันก็เป็นปัญญาธรรม ถ้ามันเป็นธรรม เป็นธรรม เห็นไหม สิ่งที่เป็นสัจธรรมแล้วเป็นธรรมข้อเท็จจริงไง 

สมมุติ ทรงจำธรรมวินัยก็เรื่องหนึ่ง สมมุติบัญญัติก็เป็นเรื่องหนึ่ง เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปถ้าเป็นสมมุตินี่สัญญาอารมณ์ ถ้าทำสมาธิมันก็เป็นหญ้าเป็นใบไม้ทำเป็นแหวนมันเป็นเรื่องสมมุติ เป็นการกระทำโดยให้มันสมชื่อว่าเป็นแหวน แต่มันเป็นความจริงขึ้นมามันไม่มีแหวน 

เวลามันปฏิบัติขึ้นมามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา มันมีสติมีสมาธิ สมาธิก็เป็นข้อเท็จจริงขึ้นมา นี่ภาคปฏิบัติไง ปฏิเวธ ปฏิเวธคือพิจารณาแจ่มแจ้งแล้ว มันแทงทะลุ เวลาแทงทะลุมันทะลุผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แล้วสิ่งที่หลุดไปคืออะไรล่ะ กิเลสไง กิเลสคือทิฏฐิมานะ สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็นผิด แต่เราไม่รู้จักมัน แล้วเราก็ไม่เคยเห็นมัน แล้วเราก็จับต้องมันไม่ได้ แล้วภาวนาอย่างไรล่ะ แล้วชาวพุทธๆ เขาทำกันอย่างไร ในวงกรรมฐาน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำมาก่อนนะ ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำของท่านมาแล้ว หลวงตาพระมหาบัวท่านพูดประจำว่า

ผู้รู้เขามีนะ ผู้รู้เขามี เขาฟังแล้วเขาหัวเราะฟันหัก ที่ว่าลัดสั้น นี่ที่หน้าไหว้หลังหลอก ที่เป็นมิจฉาพูดไปโดยไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีที่มาที่ไปอะไรทั้งสิ้น

ถ้ามันเป็นจริง เป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม กิเลสมันอยู่ที่ไหน กิเลสมันอยู่ที่ใจ นี่เวลากิเลสจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีอวิชชามาเกิดได้อย่างไร ถ้ามันเกิดขึ้นมา เห็นไหม อวิชฺชาปจฺจ-ยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ นั่นล่ะวิญญาณในปฏิจจสมุปบาท แล้วเวลามนุษย์เกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ความรู้สึกนึกคิดของเรา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ไม่รู้จักมัน เวลาศึกษาธรรมะจบนักธรรมตรี เห็นไหม เกศา โลมา จบนักธรรมตรี รูป เวทนา สัญญา วิญญาณ ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ เวลาขันธ์ ๕ ขึ้นมาก็ต่อไปนักธรรมโท นักธรรมตรี นักธรรมเอก ต่อเป็นธรรมะไง ธรรมะมันเกิดขึ้นมา มันคือไอ้นั่น มันคือไอ้นี่ นี่ไง เป็นดอกไม้ใบหญ้า เป็นให้มันสมบูรณ์แบบว่ามันเป็นรูปแหวน

เวลาพระกรรมฐานของเราฝึกหัดของเรา เห็นไหม หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เวลาจิตมันสงบ อ้อนี่ตัวจริง นี่ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ นี่ตัวจริง สงบมันสงบ ต้องมีสติปัญญา ถ้าปัญญาๆ ก็ปัญญาสามัญสำนึกนี่ไง ว่าเราเป็นปัญญาชนไม่มีปัญญา เรามีแต่ปัญญาอะไร เรียนอะไรมา ถ้าเรียนอะไรมามันก็วิเคราะห์หรือใช้สติปัญญาตามที่ความรู้เรามี นี่ปัญญาอบรมสมาธิไง ปัญญามันก็เทียบมันก็เคียงของมัน นั่นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันเป็นสมาธิๆ ขึ้นมา มันจะสร้างความสงบสุข สร้างข้อเท็จจริงขึ้นมา เห็นไหม ว่าวงแหวน นี่ปัญญาอบรมสมาธิไง

ที่ว่าเป็นปัญญา ปัญญา เห็นไหม ของเขาเป็นความคิด ของเราเป็นปัญญา ปัญญาอะไร ปัญญา ปัญญามันก็สุตมยปัญญาไง มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิไง แล้วสมาธิมันเกิดหรือยังไง ถ้าสมาธิมันเกิดขึ้นมา เห็นไหม มันเป็นแหวนทองคำขาว แหวนก็คือแหวน แหวนวงกลมๆ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ไง ใส่แหวนไว้เดี๋ยวแหวนมันรัดนิ้วมือนะ รัด รัดจนมันเน่า นี่แหวนนะ

แต่โดยข้อเท็จจริงเกิดแล้วดับ มีเจริญแล้วก็เสื่อม เสื่อมแล้วก็เจริญ ไม่มีสิ่งใดคงที่ เพราะ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา มันเป็นอนัตตาในตัวของมัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป โดยธรรมชาติของมัน เกิดดับ เกิดดับ แต่เกิดดับๆ มันจะมีมากมีน้อยขนาดไหน อยู่ที่ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เรามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน เรารักษาของเรา คนที่ประพฤติปฏิบัติถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านมีประสบการณ์นะ สบายมาก มีสติมันก็หยุดแล้ว มีสติมีระลึกรู้จบเลย 

แต่แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านอบรมบ่มเพาะขึ้นมา ท่านไม่ได้อบรมบ่มเพาะมาสอนผู้ที่รู้ ท่านอบรมบ่มเพาะขึ้นมาเพื่อสอนผู้ไม่รู้ ผู้ไม่รู้ก็ต้องบังคับไง ต้องพุทโธ ต้องมีสติ ต้องพุทโธ เพราะอะไร เพราะมันไว้ใจเราไม่ได้ กิเลสนะ อยู่ที่ใจนะ วางใจไม่ได้ทั้งสิ้น เราวางใจเราได้ไหม เราวางใจว่า เราจะมีสติมีปัญญาเพริศแพร้วอย่างนี้ไปตลอด เป็นไปไม่ได้หรอก แล้วอย่างกรรมมันยังไม่ได้ให้ผล เวลากรรมให้ผลนะ มันไม่ฟังใครหรอก

กิเลสนะ ในใจของคนเปรียบเหมือนช้างสารที่ตกมัน ช้างตกมันเข้าไปใกล้มันได้ไหม เวลากิเลสมันเต็มที่มันแล้วมันฟาดงวงฟาดงา มันทำลายหัวใจของตัวเองล้มลุกคลุกคลานเพราะขาดสติ ขาดปัญญา ขาดการบำรุงรักษามาตั้งแต่ต้น แต่ถ้าบำรุงรักษามาตั้งแต่ต้น ช้างมันจะตกมันขนาดไหนก็จับมันผูกต้นไม้ไว้ ผูกต้นไม้ใหญ่ๆ ไว้ มันจะดิ้นขนาดไหนก็ให้มันดิ้นอยู่กับต้นไม้นั้นไว้ มันไปไหนไม่รอดหรอก

นี่ก็เหมือนกัน พุทโธ พุทโธ พุทโธ มันจะทุกข์มันจะยาก มันจะลำบากขนาดไหนพุทโธไว้ ถ้ามันมีสติปัญญาก็ใช้สติปัญญารักษาของมันไว้ เอาไว้ให้ได้ ถ้ามันอยู่ของมันได้ เสื่อมไหม เอ้าเสื่อมก็เสื่อมไป หลวงตาจิตเสื่อมไปหาหลวงปู่มั่นไง โอ้ใจของเราก็เหมือนเด็กๆ เด็กๆ มันต้องมีอาหาร เราเกิดมาพ่อแม่เลี้ยงดูมาอาหารดีๆ ทั้งนั้น นี่ก็เหมือนกัน จิตเราเหมือนเด็กๆ อาหารมันขาดแคลน ไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่มีคำบริกรรม ไม่มีสติสัมปชัญญะควบคุมดูแลมัน เหมือนเด็กๆ มันก็เที่ยวเล่นของมันไปโดยข้อเท็จจริงของมัน มันต้องการอาหาร เราพุทโธไว้ พุทโธ พุทโธ” ท่านก็ทำอย่างนั้น มันก็กลับมาจริงๆ

คนที่เขาชำนาญ คนที่รู้เขาไม่กลัวหรอก คนที่ภาวนาเป็นๆ นะ เขาก็ต้องมีสติปัญญาแก้ไขสถานการณ์ในการประพฤติปฏิบัตินั้นให้ได้ ถ้ามันแก้ไขสถานการณ์อย่างนั้นได้มันเอาตัวรอดได้ไง เอาตัวรอดได้หมายความว่ามันจะปฏิบัติที่ไหน มันทำอย่างไร มันพอที่จะรักษาตัวได้ นี่ไง ถ้ามันรักษาตัวได้นะ อย่างน้อยก็ต้องพิจารณา สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ถ้ามันพิจารณากาย เห็นไหม ผม เล็บ ฟัน หนัง แล้วผม ขน เล็บ ฟัน หนัง พิจารณาอย่างไร เวลาพิจารณาเข้าไปดูไปเที่ยวป่าช้านั่นก็กายนอก ไปดูซากศพ ไปดูอสุภะ ไอ้นั่นก็เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ เขาช่วยกันนะ พยายาม เห็นไหม นั่นเป็นซากศพ เป็นรูปอสุภะ นั่นมันเป็นรูป มันเป็นกระดาษ 

เวลามันเป็นจริงๆ มันเป็นที่จิต จักขุญาณ กิเลสมันอยู่ที่นั่นหรือ กิเลส เวลาส่งเสริมในภาคปฏิบัตินะ โอ้โฮศรัทธา ศรัทธาไทย พิมพ์อสุภะ พิมพ์อะไรติดกันเต็มไปหมด หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกว่า ไอ้นั่นน่ะฉากละคร ดูลิเก ละครซิ มันมีฉาก เห็นไหม กรรมฐานเขาไม่ให้มีเพราะอะไร เพราะมันค้นหาใจตัวเองให้ได้ ค้นขึ้นมาที่ใจนี้ ไอ้นี่หวังอุปกรณ์การภาวนา มีครบหมดเลย ทุกอย่างพร้อมเลย ขาดอย่างเดียวน่ะทำสมาธิไม่เป็น หัวแหวนเลยเกิดไม่ได้ ขาดอย่างเดียว ทำสมาธิไม่เป็น มีแต่อุปกรณ์เพื่อจะส่งเสริมๆ 

แล้วส่งเสริม นี่ไง เวลากรรมฐาน เห็นไหม เข้าพรรษา เห็นไหม ถือธุดงควัตรไง ส่งเสริมอะไรมัน มีแต่จะตัดรอนมัน ตัดรอนมันเพื่ออะไร ตัดรอนมันเพื่อให้กิเลสมันเบาบางลง เพราะอะไร มันเป็นเครื่องมือในการจะชำระล้างกิเลส เป็นเครื่องมือที่จะตัดทอนให้กิเลสมันเบาบางลง ตัดทอนที่มันไม่ให้สมความปรารถนามัน มันปรารถนา มันต้องการ มันอยากได้ มันจะให้สมบูรณ์แบบของมัน แล้วกิเลสก็นอนกระดิกเท้า

แต่เราเป็นลูกศิษย์กรรมฐาน ถือธุดงควัตร ตัดทอนๆ เป็นเครื่องมือชำระล้างกิเลส เป็นเครื่องมือๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ๆ แล้วถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เห็นไหม เราก็ฝึกหัดของเรา เราก็มีการกระทำของเรา ทำให้เป็นจริงเป็นจังของเราขึ้นมา ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เห็นไหม ไม่ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจ ภูมิใจ นักรบ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบา-อาจารย์ของเรา เห็นไหม หาที่สงบสงัดเดินจงกรม เวลาองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้พระองค์เดียวอยู่โคนต้นโพธิ์ จะไปน้อยเนื้อต่ำใจตรงไหน นี่คือโอกาสทอง นี่คือโอกาสที่มันสงบสงัด โอกาสที่เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ

จะไปคลุกคลีตีโมง มีแต่อุปกรณ์การภาวนา มีแต่คนบำรุงบำเรอ มีแต่คนส่งเสริม ตายกันหมดเกลี้ยงเลย ไม่เหลือ แต่ถ้ามันเข้มแข็งของเราขึ้นมา โอ้โฮปัจจัยเครื่องอาศัยมันจะท่วมตายอยู่แล้ว ขาดอย่างเดียวเท่านั้นแหละ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ขาดอย่างเดียวเท่านั้นแหละ หาแหวนให้ได้ แล้วถ้ามันออกใช้ปัญญามันจะมีหัวแหวน หัวแหวนนั่นน่ะเวลาพิจารณาของมันไป แยกแยะของมันไป มันพิจารณาของมันไป มันจะมหัศจรรย์ในตัวของมัน 

ถ้ามหัศจรรย์ในตัวมัน เห็นไหม ถ้ามหัศจรรย์มันสำรอกมันคายของมันนะ สัมมาสมาธิ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เวลาปัญญามันแยกมันแยะของมันนะ โอ้โฮมันเบา ร่างกาย โอ้โฮมันปลอดโปร่ง จิตใจเบิกบาน แต่ต้องมีสติเพราะอะไร เพราะสพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา เสื่อมหมด เสื่อมแน่นอน เสื่อมหมดเพราะอะไร เพราะกิเลสมันอยู่คงที่ กิเลสสมบูรณ์แบบอะไรของมัน เพียงแต่เป็นความเพียร ความวิริยะอุตสาหะของเรา การภาวนาเริ่มต้น เริ่มต้นล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน เราก็ฝึกหัดของเรา เราก็มีการกระทำของเรา เวลาเป็นสัมมาสมาธิมีแหวนวงหนึ่งก็เอาไว้โชว์เขา มีแหวนวงหนึ่งก็มีสมถกรรมฐาน มีแหวนวงหนึ่งก็มีพื้นฐานที่ให้ฝึกหัดปฏิบัติได้ 

แต่ถ้าไม่มีแหวนวงหนึ่ง ไม่มีสัมมาสมาธิเลยนะ นั่นน่ะโลกียะเป็นเรื่องโลกทั้งสิ้น วิตกวิจารณ์การใช้สติใช้ปัญญา มันเป็นเรื่องยาพิษสารพิษ เพราะอะไร เพราะกิเลสมันร่วมขบวนการตลอด สมุทัยเจือปนไปทั้งสิ้น กิเลสมันร่วมมือทำงานไปกับความจอมปลอม ไปกับการปลิ้นปล้อน ไปกับการพลิกแพลง ไปกับการลัดสั้น ไปกับการหาวิธีการที่จะประพฤติปฏิบัติให้มันรู้จริงเห็นจริงโดยอุปกรณ์การประพฤติปฏิบัติสมบูรณ์พูนผล มีคนสนับสนุนศรัทธา กลายเป็นคอนเสิร์ตไง กลายเป็นการชุมนุม ชุมนุมในการปฏิบัติ 

จิตสงบ สงบที่บุคคลคนนั้น จิตของใครฟุ้งซ่าน จิตของใครกิเลสตัณหาความทะยานอยากบีบคั้นจิตดวงนั้นแทบเป็นแทบตาย จิตดวงใดมีสติปัญญาฝึกหัดของตน มันสงบระงับเข้ามา จิตดวงนั้นมีความสุขความสงบ ความสุขความสงบนั้นเกิดจากจิตดวงนั้น จิตดวงนั้น เห็นไหม เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มีศรัทธาความเชื่อ ก็มีที่พึ่งที่อาศัยคุ้มกะลาหัวให้บรรเทาทุกข์ๆ บรรเทาทุกข์ไม่ใช่การสมุจเฉทปหาน การชำระล้างกิเลส

สมุจเฉทปหานเวลาเป็นสัจจะเป็นความจริง ทุกข์ เหตุที่เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ ทุกข์ดับคือนิโรธ นิโรธโดยมรรค ๘ เป็นสัจจะเป็นความจริง จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ สิ่งนั้นถึงจะเป็นบรรทัดฐาน เป็นสิ่งที่เอาตัวรอดได้ เป็นสิ่ง เห็นไหม พาดกระแส จิตที่พาดกระแส ครูบาอาจารย์ท่านวางใจได้ วางใจได้ว่าจิตดวงนี้เพราะพาดกระแสแล้ว ภาวนามยปัญญา ปัญญาทวนกระแสกลับเข้าไปสู่จิตนั้น จิตนี้พาดกระแสแล้วมีพื้นฐานในการกระทำ เอาตัวรอดได้ จะช้าจะเร็วนั้นอีกเรื่องหนึ่ง 

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เวลาจิตที่มันเป็นสัจจะเป็นความจริงแล้วพยายามกระทำให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ไม่ให้ประมาท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งไว้เป็นคำสุดท้ายเลย ภิกษุทั้งหลาย เธอควรพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด ความประมาทเลินเล่อไง ทำความสงบของใจเข้ามา มีสัมมาสมาธิ เวลาฝึกหัดใช้ปัญญา ภาวนามยปัญญาคือหัวแหวน ถ้าหัวแหวนเป็นนิล แล้วถ้าเราพิจารณาของเราไปต่อเนื่องไป จากนิลเราก็เปลี่ยนเป็นพลอย นี่บุคคลคู่ที่ ๑ คู่ที่ ๒ ถ้าหัวแหวนเป็นพลอย เห็นไหม ถ้าหัวแหวนเป็นเพชร ถ้าเป็นเพชรเป็นพลอย เห็นไหม มันบุคคลคู่ที่ ๒ บุคคลคู่ที่ ๓ บุคคลคู่ที่ ๔ มันจะพัฒนาของมันไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป 

เวลาเอาตัวรอดได้แล้ว ถ้ามันมีแหวน มีหัวแหวนเป็นนิล มันก็เอาตัวรอดได้เพราะแหวนเราสมบูรณ์แบบของเรา ถ้ามันสมบูรณ์แบบของเรา ผู้ที่เห็นภาวนามยปัญญาตามความเป็นจริง มันรู้จริงเห็นจริง มันมีทั้งแหวน มีทั้งหัวแหวน หัวแหวนที่มีความมหัศจรรย์ หัวแหวนเกิดจากการกระทำของจิตนั้น จิตนั้นมีการฝึกหัดภาวนา ได้ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ภาวนาขึ้นมานี่มีสติมีปัญญา เห็นไหม มคฺโค ทางอันเอก ทางอันเอกมันเห็นของมัน มันใช้สติใช้ปัญญา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เห็นไหม มันพิจารณาของมันไปๆ 

ผม ขน เล็บ ฟัน หนังไม่ใช่กิเลส กิเลสมันอยู่ที่จิต รูปอันวิจิตรไม่ใช่กิเลส กิเลสมันอยู่ที่จิต แต่คนเรามันมีสมบัติส่วนตัวไง เกิดมามีกายกับใจ ถ้ามีกายก็ผม ขน เล็บ ฟัน หนังไง แล้วผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เห็นไหม จิตนี้รักตนเองที่สุด แล้วหลงในทิฏฐิมานะความเห็นผิดของตนที่สุด แล้วยึดมั่นถือมั่นที่สุด แล้วพึ่งไม่ได้เลย ของที่มันรักที่สุดมันทิ้งไม่ได้ 

แต่เวลาเราฝึกหัดภาวนา เห็นไหม เราทำความสงบของใจเข้ามาๆ ถ้าเรามีแหวน ถ้ามันเกิดภาวนามยปัญญามันจะมีหัวแหวน ปัญญาที่มันแยกมันแยะมันพิจารณาของมัน พอมันแยกมันแยะมันพิจารณาของมัน สิ่งที่รักที่สุด ทิฏฐิความเห็นผิด สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิว่ากายเป็นของเรา ผม ขน เล็บ ฟัน หนังเป็นของเรา โดยธรรมไง 

โดยชาวพุทธเกิดมาทั้งหมดตายทั้งสิ้น ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ก็รู้ๆ ดอกไม้ใบหญ้า เวลาทำเป็นมิจฉาสมาธิ ดอกไม้ใบหญ้า ทำแหวนด้วยดอกไม้ใบหญ้าเดี๋ยวมันก็เหี่ยว เดี๋ยวมันก็เฉา เดี๋ยวมันก็ขาดวิ่น นี่ก็เหมือนกัน คนเราเกิดมาก็ต้องตาย ตายแล้วก็ต้องเผา เผาแล้ว เห็นไหม เราทำพินัยกรรมไว้มอบมรดกให้เขาหมดเลย มันก็รู้ของมัน ดอกไม้ใบหญ้า

แต่เวลาเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า เห็นไหม ไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้าม ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา เวลาฝึกหัดปฏิบัติ โคนต้นโพธิ์พระองค์เดียว เวลาตรัสรู้ ตรัสรู้ท่ามกลางหัวใจของตน ตรัสรู้เองโดยชอบ กิเลสตายทั้งหมด นี่เป็นมหาเพชร เป็นเพชรครอบจักรวาล เป็นศาสดา ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์คือหัวใจของสัตว์โลก หัวใจของสัตว์โลกไง 

สิ่งที่มันยึดครอง พญามารมันยึดครองหัวใจดวงนั้น แล้วเราเกิดมาก็เป็นเรานี่แหละ อวิชชาความไม่รู้ก็อยู่ในหัวใจเรานี่แหละ พออยู่ในหัวใจ สิ่งที่เป็นนามธรรมทั้งสิ้น ผม ขน เล็บ ฟัน หนังเป็นกิเลสหรือ ไม่ผม ขน เล็บ ฟัน หนังก็เป็นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่ไง พิจารณาขนก็เป็นอริยสัจ ผมก็เป็น เป็นตรงไหน เป็นที่มีแหวน เป็นที่จิตมันสงบ พอจิตมันสงบแล้วมันยกขึ้นนั่นน่ะหัวแหวน สติปัญญา แต่ถ้ามันสักแต่ว่า มันมีอยู่แล้ว นี่ดอกไม้ใบหญ้า ทำเป็นแหวน เกสรดอกไม้ทำเป็นหัวแหวน ลมพัดก็ไปหมดแล้ว เกสร ลมพัดมาผสมเกสรออกเป็นพืชผลเยอะแยะไปหมด ธรรมชาติไง 

ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ แต่เราปฏิบัติเกือบเป็นเกือบตายนะ เพราะปฏิบัติเกือบเป็นเกือบตาย เพราะแหวนของเราไง แหวนที่มันรัดหัวใจดวงนี้ไว้ เวลามันเกิดภาวนา-มยปัญญา หัวแหวน หัวแหวนที่มันมีความมหัศจรรย์ ให้มันสมบูรณ์แบบของมันไง ถ้ามันสมบูรณ์แบบของมัน เห็นไหม มันไม่ใช่วัตถุ 

แหวน หัวแหวน หัวแหวนที่มีระดับมีคุณค่านี่เป็นวัตถุๆ วัตถุเพราะมันมีค่าแตกต่างกัน แต่เวลาปฏิบัติเป็นบุคคล ๔ คู่ โสดาบัน สกิทา อนาคา พระอรหันต์ มันแตกต่างกัน แล้วแตกต่างกันโดยเยอะมาก เยอะเพราะอะไร สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส หลานๆ มัน เวลาขึ้นไปนี่ลูกมัน เวลาความโลภ ความโกรธ ความหลง พ่อแม่มัน เวลาปู่ ย่า ตา ยายมันนะ เจ้าวัฏจักร มันลึกลับซับซ้อนแค่ไหน เวลาปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา ถ้ามีครูบาอาจารย์ขึ้นมานี่ ท่านปล่อยปละละเลย นั่นไอ้นั่นเป็นความคิด ไอ้นั่นมันเป็นปัญญา” ไร้สาระ

 เวลามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมานี่ทุกข์เจียนตาย เวลาปฏิบัติขึ้นมาเวลามันละมันวางทั้งหมด ปลอดโปร่งโล่งแต่เดี๋ยวมันก็กลับมาอีกล่ะ นี่ไง เกิดดับ เกิดดับไง ทุกข์เจียนตาย เวลาจิตมันสงบ จิตมันปล่อยวางได้บ้าง เห็นไหม มันว่างๆๆ ว่างๆ มันเผลอกิเลสมันหลับกิเลสมันหันหลังให้ ทำอหังการ เวลากิเลสมันครอบงำขึ้นมานะ หน้าไหว้หลังหลอกแล้ว หน้าอย่างหลังอย่าง เวลาหน้าก็ว่าปฏิบัติ ลับหลังนะกิเลสมันท่วมหัว แล้วยังพาคนอื่นหลงผิดอีกต่างหาก

 ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนะ ตัวเองผิดมันก็บาปกรรมอยู่แล้ว ไปสอนให้คนอื่นผิดนี่ บาปกรรมมันซ้ำซ้อนอีก เหมือนฆ่าตัวตายเลย เห็นไหม ฆ่าคนอื่นก็เป็นบาปอย่างหนึ่ง ฆ่าตัวเองตายบาปมากกว่าฆ่าคนอื่น แต่เวลาหลงผิด หลงผิดตัวเองก็ผิดแล้ว แต่ไปฆ่าคนอื่น ไปทำลายคนอื่น ไปสอนคนผิดนั่นยิ่งบาปกรรมซ้ำซ้อนเข้าไปใหญ่ แต่มันเป็นกรรมของสัตว์ สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม 

สิ่งที่ว่ามันเป็นกรรมของสัตว์ เวลามันเข้ากันโดยธาตุ โดยเคมี โดยชอบ นั่นก็เป็นจริตเป็นนิสัยเป็นกรรมของสัตว์ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา นี่ไง สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย สัตว์ที่มันเชื่อ สัตว์ที่มันพอใจมันก็กรรมของสัตว์ แต่สัตว์มันฉลาดขึ้นมาได้ สัตว์มันพิจารณาของมันได้ จาก เห็นไหม ปุถุชน กัลยาณปุถุชน จิตสงบแล้วฝึกหัดภาวนาของเราๆ เขาจะไปชมดอกไม้ เขาจะไปรื่นเริงขนาดไหน นั่นกรรมของสัตว์

ในสมัยพุทธกาล เห็นไหม พระเรวตะๆ เวลาเดินจงกรมอยู่ สิ่งที่เขามีความละเล่นฟ้อนรำขึ้นมา นั่นวาสนา เห็นไหม เทวดามายับยั้งกลางอากาศเลย ไอ้พวกนั้น รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงแห่งมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เขาสนุกครึกครื้นของเขา เขามีความสุขของเขา ท่านต่างหาก ท่านต่างหาก” คืนนั้นพระเรวตะเป็นพระอรหันต์เลย 

หลวงตาพระมหาบัว หลวงปู่เจี๊ยะเจออย่างนี้หมด อยู่ในป่า เขาไปเล่นสงกรานต์กัน เขาฟ้อนรำ เขาโอ้ยเขามีความสุข ขณะที่เราเป็นพระนะ เราปฏิบัติอยู่นะ เวลาปฏิบัติเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เวลามันกระทบ มันเกิดเลย โอ้โฮเราเป็นคนทุกข์คนยาก เราเป็นเศษคน” แต่สติปัญญาทันไง เราไม่เคยเป็นหรือ เราก็เคยเที่ยวมา เราก็เคยร้องเล่นฟ้อนรำกับเขาทั้งนั้น แล้วถ้าเรายังฟ้อนเล่นฟ้อนรำอยู่อย่างนั้น เราก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งไง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นของเรา ขัดสีฉวีวรรณแวววาว เพราะไปเพิ่มไปเล่นฟ้อนรำกันไง

แต่ตอนนี้เรามีสติมีปัญญา เรามีอำนาจวาสนาไง เรามาบวชเป็นพระ เป็นลูกศิษย์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา แล้วประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้ามีสติปัญญา เวลามันเท่าทัน เราก็เคยเป็น เราก็ทำมาหมดแล้ว แล้วมันได้อะไร ก็ได้ทุกข์ไง ใครมีศีล ศีล ๘ เขาก็ไม่ทำกันอย่างนั้นแล้วเขาไม่ทำมัน สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา ศีลทำให้ปกติสุข ศีล เห็นไหม เกิดแห่งโภคทรัพย์ ไม่จับจ่ายใช้สอยโดยสุรุ่ยสุร่าย ศีล สมาธิ ปัญญา เวลาจะมีสมาธิๆ ขึ้นมา เราพยายามทำของเรา ถ้าไม่มีสมาธิเวลาก็หนึ่งว่างๆๆๆ ดอกไม้ใบหญ้า ว่างๆๆๆ แล้วปัญญา ปัญญาก็ลวงโลกอยู่อย่างนั้น ทำแล้ว เห็นไหม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วทำแล้วมันก็เหมือนกับไม่ได้ทำ มันเรื่องธรรมดา ไม่เห็นมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน 

แต่เวลาเราทำความสงบของใจด้วยความจริงจัง เออมันไม่เป็นอย่างนั้นนะ พอไม่เป็นอย่างนั้นนะ พอมันฝึกหัด แหวน แหวนก็คือแหวน ถ้ามันได้ประดับหัวแหวน แหมแหวนมันสมบูรณ์แบบ เวลามันใช้ปัญญาไง ถ้าจิตมันสงบมันมีแหวนแล้วมันใช้ปัญญาไป มันสะเทือนนะ มันสะเทือนหัวใจนะ ทำไมเราโง่ได้ขนาดนี้ เอ็งฉลาดได้เพราะเอ็งมีแหวน เอ็งฉลาดได้เพราะเอ็งทำสมาธิเป็น เพราะอะไร เพราะสมุทัยมันไม่เจือปนไง ทำสมาธิคือสมุทัย คือกิเลสสงบตัวลง สงบตัวลงมันก็มีแหวน แต่แหวนแล้วเดี๋ยวมันเสื่อม มันเสื่อมเพราะแหวนแก้กิเลสไม่ได้ เจริญแล้วเสื่อมๆ อยู่อย่างนั้น มันก็ต้องฝึกหัดใช้ปัญญาไง

ปัญญาประดับหัวแหวนให้ได้ไง แล้วหัวแหวนจะประดับอย่างไร แล้วเอาอะไรมาประดับล่ะ ถ้าประดับก็นิล นิล นิลที่ราคามันต่ำต้อย แต่แต่มันก็มีคุณค่านะ เราก็ฝึกหัดของเราไปสิ ต้องฝึกหัด ถ้าฝึกหัดๆ เห็นไหม ปัญญาอบรมสมาธิก็เหมือนกัน เวลาฝึกหัดใช้ปัญญาๆ ถ้าจิตมันสงบแล้ว มันใช้ปัญญาไป มันลึกลับซับซ้อนกว่านี้ ลึกลับซับซ้อนกว่านี้เพราะมันขำๆ พอมันรู้เท่า มันขำตัวเอง เฮ้ย!ทำไมเป็นอย่างนี้ เฮ้ยทำไมเป็นอย่างนั้น ปัจจัตตัง สันทิฎฐิโก ฟอกจิตสำรอกคายมันออก 

ถ้าสำรอกคายมันออก เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียงเป็นกิเลสหรือ ไม่ใช่อะไรเป็นกิเลสล่ะ ก็ทิฏฐิมานะไง ก็ตัณหาความทะยานอยากนี่ไง ก็ความหลงผิดนี่ไง ทำไมถึงหลงผิดล่ะ หลงผิดเพราะมันมีในตัวมันไง มันมีเชื้อไขไง เพราะมันมีเชื้อไขมันถึงเป็นกิเลสไง แล้วถ้าเป็นกิเลสแล้วเห็นมันอย่างไร เห็นเวลาลากคอมันออกมาไง ลากคอมันออกมาพิจารณาไง พอพิจารณาไป มึงหลอกกู มึงเห็นผิดๆ แล้วมึงก็จะให้ใจกูเห็นผิดตามมึงไป แล้วทำไมต้องตามไป ไตรลักษณ์ไง 

ถ้าพิจารณาไปเป็นไตรลักษณ์ มันแยกขยายส่วน มันขยายส่วนของมัน มันพยายามจะลากมันออกมา พยายามจะลากออกมาพิจารณาๆ แล้วพิจารณาแล้วก็ไม่เชื่อด้วย เพราะเวลาพิจารณาไป หัวแหวนติดไม่ดีหลุดหมดล่ะ แหวนเพชรนะ เวลาเขาพลั้งเผลอ ขอมันยังหลวมได้ เพชรยังหลุดจากแหวน ตามหาเพชรใหญ่เลย

สิ่งนี้ก็เหมือนกัน พิจารณาแล้วๆ พิจารณาแล้วมันก็หลบมันก็หลีก มันก็พิจารณาของมันอย่างนั้น แล้วทำอย่างไร ก็พยายามของเรา ฝึกหัดของเรา ทำของเราให้มันดีขึ้น เพราะ เพราะมันอยู่ที่จริตนิสัย อยู่ที่อำนาจวาสนา ขิปปาภิญญา ผู้ที่ทำง่ายรู้ง่าย ผู้ที่ทำง่ายรู้ยาก ทำง่ายๆ แต่รู้แสนยาก รู้แสนยากก็พยายามของเราอยู่ต่อเนื่องๆ ไป แล้วของอย่างนี้ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ไม่ต้องไปน้อยเนื้อต่ำใจใดๆ ทั้งสิ้น แต่แต่ต้องมีสติสัมปชัญญะจะต้องมีการกระทำต่อเนื่องๆ ไม่น้อยเนื้อต่ำใจแล้วก็ไม่ทำ ไม่น้อยเนื้อต่ำใจแล้วก็โยนทิ้ง ไม่น้อยเนื้อต่ำใจแล้วก็วางใจ ไม่น้อยเนื้อต่ำใจไม่ทำต่อเนื่อง 

สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติไม่ทำต่อเนื่อง ไม่ทำสม่ำเสมอ คนที่มีการประพฤติปฏิบัติเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเพราะไม่มีการประพฤติปฏิบัติสม่ำเสมอ ไม่มีการประพฤติปฏิบัติต่อเนื่อง ไม่มีการประพฤติปฏิบัติไป เห็นไหม สิ่งที่มันจะได้ผลแล้วกำลังจะได้จะเสียก็หยุดไปซะ แล้วก็ไปเริ่มต้นใหม่ก็ต้องไปสร้างสมขึ้นมาใหม่ สร้างสมขึ้นมาให้มันมีกำลัง สร้างสมขึ้นมาให้แหวนมั่นคง มันจะได้ประดับหัวแหวนได้ แหวนมั่นคงแล้วจะประดับด้วยสติ ด้วยปัญญา สติปัญญามันก็เป็นสัญญา สัญญาเราก็เคยทำแล้ว เราก็เคยรู้แล้ว รู้อะไร รู้นั่นเรื่องอดีต รู้ เคยรู้ที่เคยทำมา

ถ้ารู้ที่มันสมบูรณ์แบบมันต้องสมุจเฉทปหาน มันต้องขาดไปแล้ว มันรู้ก็รู้แบบเลอะๆ เลือนๆ รู้แบบเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง รู้แบบเหมือนจะรู้ หรือแบบมันไม่รู้ มันรู้ไม่ชัด รู้ไม่เจน รู้ไม่แจ่มแจ้ง มันก็ต้องปฏิบัติซ้ำ ซ้ำของเราไป ถ้ามันฉลาดมันไม่เออออห่อหมกเชื่อกิเลสตลอดไป ไม่เออออห่อหมกให้กิเลสมันชักจูงไป การกระทำมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยอำนาจวาสนาของคน ด้วยสัจจะด้วยความจริง ด้วยการกระทำ เห็นไหม 

ถ้ามันเป็นความจริงๆ เราขยันหมั่นเพียร บารมีธรรมๆ สิ่งที่ว่าเป็นบารมี บารมีก็การกระทำอยู่นี่ไง บารมีก็การปฏิบัติอยู่นี่ไง เพราะอะไร เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธ-ศาสนาไง แล้วพระพุทธศาสนาเกิดมาชาติหนึ่ง งานสิ่งใดก็ทำแล้ว จะไปทำอะไรกับใคร มันก็เรื่องโลกๆ ทั้งสิ้น สมบัติสาธารณะ 

สมบัติของเราคือใจเราต่างหาก สมบัติของเราถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา แหวนสัมมาสมาธิ หัวแหวนสติปัญญาของเรา ฝึกหัดปฏิบัติให้ได้ เวลาพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเวลามันขาด สมบูรณ์แบบ อกุปปธรรม ถ้าสมบูรณ์แบบอกุปปธรรม ไม่ลูบไม่คลำ สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบไม่คลำ วิจิกิจฉาไม่ลังเลสงสัย ไม่ลังเลสงสัยอะไร ไม่ลังเลสงสัยผมขนเล็บฟันหนังไง ผมขนเล็บฟันหนังมันก็เป็นวัตถุธาตุ มันเป็นวัตถุเป็นสมบัติของใคร ของของคนนั้นก็อาศัยแค่ชั่วอายุขัย ชั่วอายุขัยเท่านั้น แล้วถ้าไม่เจ็บไข้ได้ป่วยมันก็สมบูรณ์แบบของมัน เจ็บไข้ได้ป่วยต้องตัดทิ้ง ต้องกว้านออก ต้องร้อยแปด แต่หัวใจสำคัญกว่า

หัวใจ เห็นไหม เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมีอำนาจวาสนา เวลาพุทโธๆ จนพุทโธไม่ได้ สักแต่ว่าปรากฏ จิตมันทิ้งร่างเลย มันไม่รับรู้สิ่งใด สักแต่ว่าปรากฏ จิตเด่นชัด แหวน ไม่ใช่หัวแหวน หัวแหวนต้องสมบูรณ์แบบด้วยดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ งานชอบธรรม งานในการทำความสงบของใจคืองานชนิดหนึ่ง งานฝึกหัดใช้ปัญญาเป็นการเตาะแตะๆ ก็ชนิดหนึ่ง เวลางานที่มันคล่องตัวขึ้นมา สติปัญญาเริ่มก้าวเดินของมันได้ก็เป็นงานอีกชนิดหนึ่ง งานการทำซ้ำทำซากเป็นตทังคปหาน ปล่อยวางชั่วคราวๆ ก็เป็นงานชนิดหนึ่ง 

เวลาพิจารณาไป เวลาสมดุลสมบูรณ์แบบไม่ใช่งานของใคร งานของธรรม จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ ความสมดุล ความพอดี มรรคสามัคคี สมดุลพอดีของมันเป็นสัจจะเป็นความจริง เป็นความมหัศจรรย์แล้วจะบอกว่าจะต้องอย่างนั้น จะต้องอย่างนี้ มันเป็นจริตนิสัย มันเป็นอำนาจวาสนา ฉะนั้น หัวแหวนมันถึงแตกต่างกัน หัวแหวนมันมีอำนาจวาสนาบารมีแตกต่างกัน เวลาเอตทัคคะ ๘๐ องค์ก็แตกต่างกันๆ 

กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เขาทำของเขามา แล้วในปัจจุบันนี้เขาภาวนาของเขาเป็นปัจจุบันธรรม เขาภาวนาของเขาด้วยสัจจะด้วยความเป็นจริง ด้วยการกระทำที่สมบูรณ์แบบ ด้วยการกระทำที่เป็นปัจจุบันนี้ ด้วยความเป็นจริงด้วยอำนาจวาสนาที่ส่งเสริมมาให้เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์ไง เกิดมาพบพระ-พุทธศาสนาเสียด้วย แล้วมีอำนาจวาสนาจะฝึกหัดไง ฝึกหัดปฏิบัติ งานส่วนตนนะ งานของเราเอง ผลของการประพฤติปฏิบัติ ไม่พึ่งพาอาศัยใครทั้งสิ้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทำเพื่อใครไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะทำเพื่อใครมันอยู่ข้างนอก มันอยู่นอกจากจิตเรา แล้วจิต เห็นไหม เวลามาเกิดเป็นมนุษย์มันอยู่ไหนล่ะ อยู่ท่ามกลางหัวอก หาไม่เจอ ทำไม่เป็น เวลาทำได้แหวน ทำได้สัมมาสมาธิ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แต่พาหิยะฟังธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนเดียวเป็นพระอรหันต์เลย ก็สมบูรณ์แบบด้วยแหวนและหัวแหวนเพราะอะไร เพราะเขามีอำนาจวาสนา เขาได้สร้างของเขามา เขาได้ทำของเขามาสมบูรณ์แบบ

แต่ของเรา เราก็สมบูรณ์แบบโดยกิเลสนี่ไง เราก็สมบูรณ์แบบโดยไม่รู้ เราก็สมบูรณ์แบบ แต่เรามีศรัทธา ศรัทธาก็ดอกไม้ใบหญ้า ดอกไม้ใบหญ้า ลมพัดลมเพไง แดดออกแดดเผามันก็ย่อยสลายแล้วลมพัดไป เราก็ฝึกหัดปฏิบัติของเราขึ้นมา ให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ให้มันเป็นวงแหวน ไม่ใช่ดอกไม้ใบหญ้า แล้ววงแหวนของใคร วงแหวนของจิตนี้

เวลาวงแหวนของจิตนี้ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ เอ็งไม่มีแหวน เอ็งทำอะไรไม่ได้หรอก ถ้าเอ็งไม่มีแหวนก็สมมุติ นี่ไง ดอกไม้ใบหญ้านี่ไง แล้วไอ้นี่เป็นความคิด ไอ้นี่เป็นปัญญา นั่นก็ดอกไม้ใบหญ้าทั้งนั้น มันบรรลุว่างๆ บรรลุว่างเป็นอากาศธาตุเลย ลมพัดมาไปหมดเลย แล้วจิตอยู่ไหนล่ะ แล้วจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอยู่ที่ไหน แล้วความรู้สึกนึกคิดที่ทุกข์ที่เข็ญใจอยู่ไหน ก็มันว่างไง ว่างอะไร ดอกไม้ใบหญ้า 

ไม่มีสิ่งใดไม่มีเหตุมีผล ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันมีเหตุมีผลของมันโดยสมบูรณ์แบบของมัน ความสมบูรณ์ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ แล้วสมดุลพอดีขึ้นมา นิโรธดับ จิตนี้กลั่นออกจากอริยสัจเป็นอกุปปธรรม อกุปปธรรมอย่างไร อกุปปธรรม อฐานะที่แปรสภาพ คู่ที่ ๑ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ ถ้าสัมมาทิฏฐิถูกต้องชอบธรรมคงที่ตายตัว คงที่ตายตัวแบบธรรมไง ไม่ใช่อัตตาและไม่ใช่อนัตตา 

อัตตาคือทิฏฐิมานะคือกิเลส อนัตตาธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่จิตวงแหวนนั้นมีสติมีปัญญา จิตที่พยายามประดับหัวแหวนมีสติมีปัญญา มีการฝึกหัด มีการกระทำ วงแหวนนั้นเห็นอนัตตา วงแหวนนั้นเห็นกิเลส วงแหวนนั้นเห็นทิฏฐิมานะความเห็นผิด รูป รส กลิ่น เสียง ผม ขน เล็บ ฟัน หนังไม่ใช่กิเลส กิเลสมันอยู่ที่วงแหวน กิเลสมันอยู่ที่จิตนั้น แล้วจิตนั้นมันพิจารณาแยกแยะของมันตามความเป็นจริง ถ้ามันแยกแยะตามความเป็นจริง เห็นไหม มันพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ เวลากิเลสมันขาด อกุปปธรรมถึงเป็นอฐานะ ไม่ใช่อัตตาและไม่ใช่อนัตตา

อัตตาคือทิฏฐิมานะ สักกายทิฏฐิความเห็นผิด อนัตตาคือสภาวธรรม สภาวธรรมที่แหวนที่จิตมันรู้มันเกิดจักขุญาณ จักขุญาณที่เห็นสักกายทิฏฐิ เห็นความผิด เห็นกิเลสที่มันบิดมันพลิ้ว เห็นกิเลสที่มันชักจูงไป ถ้ามันพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลามันขยายส่วนมันแยกส่วน มันแปรสภาพของมัน จิตนี้เห็นอนัตตา เห็นไตรลักษณะ ไตรลักษณะนั้นจะเป็นคุณสมบัติให้จิตนั้นคายออก คุณสมบัติให้จิตนั้นพิจารณา สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สังโยชน์ขาด ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อนัตตา

อนัตตาคือระหว่างที่มันพิจารณา สพฺเพ ธมฺมา เป็นอนัตตา ธรรมเป็นอนัตตา ธรรมเป็นอนัตตา แต่เป็นอนัตตาโดยทฤษฎี เป็นอนัตตาโดยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า โดยอนัตตาเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ-เจ้าเป็นผู้รู้ เป็นผู้เห็น แล้วแสดงธรรมไว้เป็นกิริยา แล้วเราก็ศึกษาๆ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่รู้ แต่ไม่เห็น แต่ไม่เป็นจริงไง

เวลาเราทำใจของเราให้เป็นวงแหวน แล้วเราพิจารณาด้วยหัวแหวน ด้วยสติด้วยปัญญาไง เวลามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาเพราะจิตมันรู้ จิตมันเห็น จิตมันสำรอก จิตมันคาย จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ เวลามันชำระล้าง มันสมุจเฉทปหาน ขาด สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เป็นอกุปปธรรม คงที่ตายตัว แต่ไม่ใช่อัตตาและไม่ใช่อนัตตา เป็นสัจจะเป็นความจริงในหัวใจดวงนั้นมีแหวนและหัวแหวน เห็นไหม แก้วหัวแหวน ธรรมแก้วหัวแหวนสมบูรณ์แบบในใจดวงนั้น ในการประพฤติปฏิบัติสมดุลและพอดีกับใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น เอวัง